Page Like หรือจำนวนคนที่กดไลค์กดติดตามเพจ เชื่อหรือไม่คะ ว่ายอดตัวเลขนี้ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อของจากเรา
Page Like เกี่ยวข้องกับการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจและแบรนด์ของเราอย่างไร? ให้ลองคิดดูค่ะว่าถ้าเราต้องการซื้อสินค้าและเสิร์ชเจอเป็น Facebook Fanpage ที่เป็นสินค้าหรือบริการเดียวกัน แต่เพจหนึ่งเปิดมานานแล้ว มียอด Page Like จำนวนมาก มีการทำคอนเทนต์ มีการโพสต์สินค้า และแต่ละโพสต์ก็มีคนกดไลค์ มีคนคอมเมนท์จำนวนมาก
เทียบกับอีกเพจที่พึ่งเปิด คนกดไลค์แค่หลักสิบ แทบไม่มีคอนเทนต์โพสต์เลย โพสต์ก็ไม่มีคนกดไลค์ด้วย แบบนี้แล้วเพจแรกย่อมได้รับคววามเชื่อถือมากกว่าจริงไหมคะ ยิ่งถ้ามีคนมากดรีวิวให้เพจจำนวนมากก็จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ มากยิ่งขึ้นไปอีก โอกาสที่จะปิดการขายก็จะมากเพิ่มขึ้นตามไปด้วยค่ะ
เพราะเหตุนี้เอง หลายคนที่เพิ่งเริ่มทำเฟสบุ๊คเพจธุรกิจจึงให้ความสำคัญกับการยิงโฆษณาเพื่อเพิ่มจำนวนคนกดไลค์เพจในระยะเวลาสั้นที่สุด แต่ถ้าคนที่ยิงแอดไม่เก่ง ยิงโฆษณาไม่เป็น หรือ ยังไม่มีงบในการยิงโฆษณาล่ะ จะทำอย่างไร?? บทความนี้ขวัญเลยจะมาแชร์เทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณเพิ่มยอด Page Like อย่างได้ผล โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาค่ะ มีอะไรบ้างมาดูกัน
หัวข้อ (คลิกเลือกอ่านได้)
12 เทคนิค เพิ่ม Page Like แบบไม่ต้องเสียเงิน
1. สร้างคอนเทนต์ให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง
ให้เราลองคิดดูนะคะว่าถ้าเราเข้าไปในเพจหนึ่งพบแต่ Selling Content หรือที่เราเรียกว่าโพสต์ขายของ โพสต์ขายสินค้า อาจมีรูปสินค้าหรือรูปนางแบบ เล่าคุณสมบัติสินค้าว่าดีอย่างไร ราคาเท่าไหร่ หรือจัดโปรโมชั่น คอนเทนต์ที่โพสต์มีอยู่แค่นั้น เราก็จะอาจจะเข้ามาดูครั้งหรือสองครั้งเพื่อดูโปรโมชั่น อาจจะกดไลค์เพจหรือไม่กดไลค์เพจก็ได้เพราะได้ทราบข้อมูลที่เพียงพอแล้ว
แต่ถ้าเป็นเพจที่มีความรู้ดีๆ เช่น เทคนิคแบบ Tips & Tricks ในเรื่องที่เราสนใจ หรือ ข้อมูลข่าวสารที่อัพเดทในเรื่องที่เราติดตามอยู่ หรือ เรื่องราวที่มีประโยชน์ในด้านใดด้านหนึ่งต่อตัวเรา เราก็ย่อมต้องอยากอ่านและอยากติดตามเพจที่มีข้อมูลดี ๆ ที่เราสนใจอยู่ ถูกไหมคะ?
ดังนั้นในการทำเพจและทำคอนเทนต์ นอกจากการทำคอนเทนต์ขายของแล้ว ถ้าเราอยากให้ลูกค้ากดไลค์หรือกดติดตามเพจของเราไว้ คอนเทนต์ที่เราส่งมอบต้องมีคุณค่ามากกว่าเรื่องโปรโมชั่นหรือคุณสมบัติสินค้าค่ะ ได้แก่คอนเทนต์ที่ให้ความรู้ ให้ประโยชน์แก่ผู้อ่าน สร้างคุณค่าให้เกิดกับผู้ที่กดไลค์และกดติดตามเพจ โดยขวัญจะแนะนำหลักการคัดเลือกหัวข้อคอนเทนต์ที่จะนำมาให้ความรู้แก่ลูกเพจของเรา ไม่ใช่ความรู้ทั่วๆไปเรื่องอะไรก็ได้นะคะ แต่ให้เรายึดที่ความเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการหรือแบรนด์ของเราเป็นหลักค่ะ
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจของเราเป็นร้านขายกาแฟ สิ่งที่เราสามารถให้ความรู้แก่ผู้อ่านได้ก็เช่น เรื่องเกี่ยวกับเมล็ดกาแฟ กรรมวิธีการคั่วบด วิธีการชงกาแฟลักษณะต่าง ๆ ศัพท์ที่ใช้เวลาสั่งกาแฟ เทคนิคการดื่มกาแฟ ประโยชน์ของการดื่มกาแฟ ฯลฯ แบบนี้เป็นต้น โดยพยายามสรรหาความรู้ที่แปลกใหม่ อัพเดท ทันสมัยมานำเสนอ ก็จะทำให้บรรดาคอกาแฟมากดไลค์กดติดตามเพจของคุณได้ไม่ยากค่ะ หรืออย่างสตาร์ทอัพนาวเป็นสถาบันให้ความรู้ด้านการตลาดดิจิตัล ดังนั้นคอนเทนต์ที่ขวัญนำเสนอก็จะเป็นการอัพเดทเทรนด์การตลาดออนไลน์ หรือการแนะนำเทคนิคดี ๆ สอนวิธีการทำการตลาดบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ แบบนี้เป็นต้นค่ะ
อีกหนึ่งข้อดีของการทำคอนเทนต์ให้ความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เชิงลึกในเรื่องที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรามีความสำคัญมากนะคะ เพราะนอกจากจะช่วยสร้างฐานแฟนคลับให้กับเพจของเรา เพิ่ม Page Like ได้แล้ว ยังจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในใจลูกค้าได้เป็นอย่างดี แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ เป็นกูรู เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานหรือในธุรกิจของเรา ช่วยให้เราเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้นด้วยค่ะ
2. ทำ Viral Content เน้นให้คนแชร์
Viral Content เป็นกลยุทธทางการตลาดออนไลน์อย่างหนึ่งที่หลาย ๆ แบรนด์นิยมใช้กันเพราะได้ผลอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้าง Brand Awareness ซึ่งในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง มีคู่แข่งจำนวนมากนั้น การที่ผู้บริโภครับรู้และจดจำแบรนด์ของเราได้ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง เป็น “โอกาสทองคำ” ในทางการตลาดเลยทีเดียวค่ะ
การสร้าง Viral Content ก็คือการนำเสนอเนื้อหาในลักษณะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพ วีดีโอ แคปชั่น แฮชแท็ก คำพูด(Quote) หรือแคมเปญการตลาด ที่ไอเดียเด็ดๆ เนื้อหาโดนใจ อ่านแล้ว เห็นแล้ว อยากแชร์ต่อ ก่อให้เกิดกระแสที่ได้รับการพูดถึงในวงกว้าง สร้างยอดไลค์ยอดแชร์จำนวนมากโดยไม่ต้องพึ่งพาการโฆษณาเลย
3. ดึงดูดคนอ่านด้วยภาพและการพาดหัวเรื่อง
มีคำกล่าวว่าถ้าคอนเทนต์คือพระราชา ภาพกราฟฟิคและคำโฆษณา (Copywriting) ก็คืออัศวินที่บุกทะลวงไปคว้าเอาความสนใจและสายตาของผู้อ่านมาไว้ที่คอนเทนต์ของเราได้สำเร็จ ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นเรื่องจริงนะคะ เพราะไลฟสไตล์การเสพคอนเทนต์ของคนในยุคปัจจุบันมักดูผ่านมือถือ การสไลด์ผ่านข้อมูลต่าง ๆ จึงเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก ถ้าภาพกราฟฟิกและการพาดหัวเรื่องในภาพของเราไม่ดึงดูดจริง ๆ ก็จะไม่สามารถหยุดสายตาและนิ้วที่สไลด์ผ่านไปได้ค่ะ
ดังนั้นขวัญจึงย้ำกับทุกท่านเสมอว่าในการทำธุรกิจ โปรโมทขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ ภาพถ่ายและภาพกราฟิกเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเขียนแคปชั่นเลยนะคะ เพราะต่อให้เราเขียนแคปชั่นอธิบายดีแค่ไหน แต่ภาพไม่สวย ก็ไม่สามารถดึงความสนใจ ไม่สามารถปิดการขายได้สำเร็จค่ะ
สำหรับคนที่ทำกราฟิกไม่เป็นหรือทำไม่เก่ง แบรนด์ที่ไม่มีกราฟิกประจำแบรนด์ แบรนด์ที่พึ่งเริ่มต้นและอาจจะยังไม่มีเงินลงทุนในการจ้างคนทำภาพกราฟิกสวย ๆ ขวัญมีเขียนบทความจำนวนมากให้คำแนะนำการใช้แอพพลิเคชั่นแต่งรูปภาพต่าง ๆ ที่ใช้งานง่ายแต่ได้ภาพสวยมาก ๆ หรือ แนะนำแหล่งดาวน์โหลดรูปฟรีสำหรับนำมาทำคอนเทนต์ ฯลฯ ซึ่งทุกท่านสามารถคลิกอ่านได้จากลิงค์ด้านล่างนี้ค่ะ
อ่านบทความ “รวม 10 แอพแต่งรูป ฟรี! ที่เหมาะกับคนทำธุรกิจออนไลน์”
อ่านเรื่อง “โปรแกรมแต่งรูป Canva ช่วยทำภาพกราฟิกสวยแบบมืออาชีพ”
อ่าน “แนะนำ 4 เว็บแหล่ง ดาวน์โหลดรูปฟรี พร้อมสอนการดาวน์โหลดอย่างถูกวิธี”
4. มีกิจกรรมร่วมสนุก
การจัดกิจกรรมให้ลูกเพจร่วมสนุกบนเฟสบุ๊คเป็นกลยุทธการตลาดที่แบรนด์ทั่วไปนิยมใช้กัน เพราะแคมเปญการตลาดแบบนี้จะไม่ได้เพิ่มแต่ยอดขายอย่างเดียว แต่เพิ่มในเรื่องอื่น ๆ ที่คุ้มค่ามากมายเลยค่ะ ได้แก่ จำนวน Page Like, Post Like, สร้าง Viral ได้ สร้างเรื่อง Brand Awareness ได้ รวมถึงทำให้กลุ่มเป้าหมายและลูกค้าปัจจุบันรู้สึกดีกับแบรนด์ของเราได้ด้วยนะคะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกติกาที่เราตั้งไว้ให้คนที่ต้องการร่วมสนุกได้ทำค่ะ อาทิเช่น ต้องกดไลค์เพจ และต้องกดแชร์โพสต์ก่อน จึงจะสามารถร่วมสนุกได้ เป็นต้น
5. สร้างการรับรู้ในวงกว้างด้วยการนำเพจไป Join Group
การนำเพจของเราไปกด join group หรือเข้าร่วมกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักเพจและธุรกิจของเราเยอะขึ้นอีกทางหนึ่งค่ะ ซึ่งในการกด join group หรือเข้าร่วมกลุ่มนี้มีข้อควรรู้และแนวทางการปฏิบัติง่าย ๆ อยู่ 2-3 ข้อ ดังนี้ค่ะ
5.1 กดเข้าร่วมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเอง หรือวิเคราะห์แล้วว่ามีความเหมาะสมกับสินค้า บริการ และแบรนด์ของเรา เช่น ในกลุ่มมีสมาชิกที่มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา เนื้อหาที่โพสต์หรือแชร์กันในกรุ๊ปมีความเกี่ยวข้องกับสินค้า บริการ และแบรนด์ของเรา เป็นต้น
5.2 ก่อนเข้าร่วมกลุ่ม ควรศึกษากฎหรือข้อกำหนดของกลุ่มให้ดีเสียก่อน เพราะบางกลุ่มก็อนุญาตให้โพสต์โฆษณาธุรกิจได้ตรง ๆ แต่บางกลุ่มก็ไม่อนุญาต
5.3 เมื่อเข้าร่วมกลุ่มแล้ว หากต้องการให้เพจเป็นที่รู้จักในกลุ่มสมาชิก ก็ควรมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มและสมาชิกในกลุ่มค่ะ โดยเราสามารถโพสต์ให้ความรู้ แชร์เทคนิคประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม หรือเราอาจจะไปตอบคอมเมนท์ที่มีคนมาโพสต์ถามความรู้โดยระมัดระวังไม่แฝงการขายหรือการโฆษณา เป็นต้น
6. โปรโมทเพจในช่องทางอื่นๆ ด้วย
ปัจจุบันมีช่องทางการตลาดออนไลน์มากมายหลายช่องทางเลยนะคะ ทั้ง Facebook, Instagram,YouTube, Line OA, Website, Google Ads ฯลฯ ซึ่งหลาย ๆ แบรนด์ก็มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทำคอนเทนต์ลงในช่องทางต่าง ๆ เกือบครบทุกช่องทางเลยนะคะ ที่ขวัญจะแนะนำก็คือ เราควรใส่ลิงค์ Facebook Fanpage ของเราลงในช่องทางต่าง ๆ ที่เรามีด้วยค่ะ เพื่อดึงกลุ่มแฟนคลับของแบรนด์จากช่องทางอื่น ๆ ให้มากดไลค์เพจของเราเพิ่มด้วย และเป็นการขยายฐานลูกค้า เพิ่มโอกาสปิดการขายได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ
7. Invite เพื่อน
วิธีนี้เหมาะมากนะคะสำหรับคนที่มี friend ในเฟสบุ๊คจำนวนมาก หรือมีแอดมินเพจหลาย ๆ คน เพราะ Facebook อนุญาตให้คนที่เป็นแอดมินเพจสามารถกดเชิญเพื่อนใน Facebook ส่วนตัวของเรามากดไลค์เพจที่เราดูแลอยู่ได้โดยไม่จำกัดการมองเห็น
โดยแอดมินจะสามารถเลือกได้ด้วยนะคะว่าจะส่งคำเชิญ (invite) ให้ใครบ้าง หรือจะกดส่ง invite ให้ทั้งหมดทุกคนที่เป็นเพื่อนกับแอดมินเลยก็ได้ค่ะ
8. Invite คนที่มีปฏิสัมพันธ์กับเพจ
โพสต์ของเพจจะเปิดเป็นสาธารณะอยู่แล้วนะคะ และในบางครั้งคนที่มากดไลค์โพสต์ของแบรนด์เรา อาจจะยังไม่ได้กดไลค์เพจของเราก็ได้ค่ะ การ invite คนที่มีปฏิสัมพันธ์กับเพจก็คือการส่งคำเชิญ (invite) ไปยังคนที่มากดถูกใจโพสต์ให้ตามมากดไลค์เพจของเราด้วยค่ะ
ซึ่งวิธีการทำก็ง่าย ๆ มาก ๆ เลยนะคะ แค่เลื่อนเมาส์ไปคลิก 1 ครั้งที่จำนวนคนที่กดถูกใจ ระบบก็จะแสดงรายชื่อให้เห็นพร้อมทั้งบอกสถานะด้วยค่ะว่ามีคนไหนบ้างที่ยังไม่ได้กดไลค์เพจ ก็ให้เรากดที่ปุ่ม “เชิญ” ค่ะ เท่านี้คำเชิญของเราก็จะส่งไปยังคนเหล่านั้นค่ะ
9. มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกเพจ
หมายถึง การแสดงความใส่ใจ สนใจ เวลาที่มีคนมาแสดงความคิดเห็นต่อโพสต์ของเราค่ะ ซึ่งบางคนอาจจะมาสอบถามราคาสินค้า สอบถามรายละเอียดโปรโมชั่น หรือ อาจจะแค่มาแสดงความคิดเห็นเฉย ๆ เช่น “สวยจัง” “น่าใช้” “น่ากิน” แบบนี้เป็นต้น
ตัวเราในฐานะที่เป็นแอดมิน เป็นเจ้าของเพจ เจ้าของธุรกิจควรแสดงความใส่ใจต่อคอมเมนต์เหล่านั้น ซึ่งสามารถแสดงออกได้หลายวิธีค่ะ เช่น การตอบคอมเมนต์ด้วยความสุภาพ การตอบคอมเมนต์ด้วยอิโมติคอนน่ารัก การส่งสติ๊กเกอร์สวยๆ น่ารักน่าเอ็นดู หรือแม้แต่การกดถูกใจ กดรัก เพียงเท่านี้ก็ทำให้เจ้าของคอมเมนท์รู้สึกดีกับแบรนด์ของเราและอยากกดไลค์กดติดตามเพจของเราได้ค่ะ
10.ใส่ใจตอบอินบ็อกซ์
ในที่นี้หมายถึง การไม่ดองข้อความเวลาลูกค้าทักแชทค่ะ เวลาที่ลูกค้าทักอินบ็อกซ์มานั่นหมายถึงว่าลูกค้ามีความสนใจในสินค้าหรือบริการของเราระดับหนึ่งแล้ว เราจึงควรพยายามตอบกลับในระยะเวลาที่สั้นที่สุดค่ะ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเพจตอบเร็ว แอดมินใส่ใจ บริการดีและรวดเร็ว ซึ่งเหล่านี้จะส่งผลไปถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าของเราด้วยนะคะ
หรือถึงลูกค้าจะไม่ซื้อในตอนนี้ แต่ถ้าเราได้มีปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับลูกค้าผ่านทางอินบ็อกซ์แล้ว เท่ากับเรามีคอนแทคของลูกค้าในกล่องข้อความแล้วค่ะ ดังนั้นในการโปรโมทสินค้าครั้งต่อ ๆ ไป หรือการส่งคำเชิญให้กดถูกใจเพจ เราก็สามารถส่งผ่าน inbox ได้ด้วยค่ะ
11. ใส่ Hashtag ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบ้าง
การใส่ Hashtag มีบทบาทมากขึ้นในการค้นหาสินค้าหรือบริการบน Facebook นะคะ ขวัญแนะนำให้ทุกคนพิมพ์ Hashtag ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สินค้า บริการ แบรนด์ของเรา ลงที่ใต้โพสต์ของเพจเราด้วยนะคะ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ลูกค้าหาเพจของเราเจอได้ง่ายมากขึ้นค่ะ
12. ทำทุกข้ออย่างสม่ำเสมอ
ข้อสุดท้ายนี้สำคัญมาก ๆ ค่ะ นั่นคือเราต้องทำ 11 ข้อที่ขวัญพูดมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เพจของเรามีความน่าสนใจและน่าติดตามอยู่เสมอ สามารถสร้างฐานแฟนคลับของเพจ ที่จะสามารถพัฒนาไปเป็นแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์เราได้ในอนาคตค่ะ
เพียงเท่านี้เพจของเราก็จะมี Page Like มียอดคนติดตามเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินยิงโฆษณาจำนวนมากเลยค่ะ ลองทดลองกันดูนะคะ 🙂
อย่าลืมติดตามข่าวสาร สาระ เรื่องราวดิจิตอล ฉบับเข้าใจง่ายได้ทุกวันที่ Facebook Fanpage ของ StartUp Now นะคะ STARTUP NOW Facebook Fanpage
อ่านเรื่องการตลาดดิจิตอลเพิ่มเติมได้ที่นี่ บทความการตลาดออนไลน์
อยากดูคลิปความรู้ดิจิตอลฉบับเข้าใจง่ายคลิปอื่น ๆ ไปเยี่ยมชมช่อง YouTube ของ StartUp Now กัน